ควรพาสุนัขไปผสมวันไหน?
รู้ได้ยังไงตกไข่เมื่อไหร่?
นับวันผสมอย่างไรดี?
ตรวจวันตกไข่ได้อย่างไร?
ผสมช่วงไหนดีที่สุด?
กับคำถามยอดฮิต ที่อาจเคยเกิดขึ้นในหัวคุณ หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่เลี้ยงสุนัขเพศเมีย และอยากให้เค้ามีลูกแล้ว วันนี้ เราจะคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันครับ
สิ่งที่จะต้องคำนึงถึง มีดังนี้
- อายุที่เหมาะสม สำหรับเจ้าสาวของเรา
- ช่วงของการเป็นสัด
- วันตกไข่และช่วงเวลาที่เหมาะในการผสม
- อายุที่เหมาะสม สำหรับเจ้าสาวของเรา
ก่อนอื่นต้องดูที่ตัวเจ้าสาวของเราก่อนครับ ว่าอายุเท่าไหร่แล้ว เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้วรึยัง?
วัยเจริญพันธุ์ หมายถึง วัยที่สุนัขมีความพร้อมเต็มที่สำหรับการผสมพันธุ์แล้ว ปกติแล้วสุนัขแต่ละสายพันธุ์จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เร็วช้าไม่เท่ากัน
สำหรับน้องหมาตัวผู้มีอาการคล้ายจะผสมพันธุ์ (อาการที่สุนัขชอบมาเกาะ มาขึ้นขี่ที่ขาของเรา) สามารถพบได้เด็กที่สุดตั้งแต่เค้าอายุเพียงแค่ 3-4 สัปดาห์ ซึ่งช่วงอายุเท่านี้ จะยังไม่สามารถสร้างสเปิร์มได้ พฤติกรรมเช่นนี้จะเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ และจะหายไปครับ โดยมักจะพบอีกทีตอนเมื่อเข้าสู้วัยเจริญพันธุ์ โดยกว่าครึ่งของสุนัขเพศผู้ มักจะพบพฤติกรรมนี้ตอนอายุประมาณ 5 เดือนครึ่ง ซึ่งเป็นช่วงอายุที่พร้อมจะเป็นพ่อพันธุ์ได้แล้วครับ สามารถมีพฤติกรรมที่ว่าได้ ดังนั้นจึงยังไม่ใช่วัยเจริญพันธุ์
สำหรับสุนัขเพศเมียจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ จากเป็นสัดครั้งแรก (สังเกตจาก มีเลือดออกจากอวัยวะเพศ ที่เราๆ ท่านๆ เข้าใจว่าคือประจำเดือน แท้จริงแล้วไม่ใช่ ต่างจากในคนนะครับ) ได้ตั้งแต่อายุ 5-12 เดือน โดยในสุนัขพันธุ์เล็ก จะพบว่าเป็นสัดครั้งแรกได้ตั้งแต่อายุ 5-6 เดือน ขณะที่สุนัขพันธุ์ใหญ่ มักจะพบก็ตอนช่วงอายุ 18-24 เดือนเลยครับ จะเห็นว่าแตกต่างกันมากเลยนะครับ ทั้งนี้ ถึงจะเรียกได้ว่า ช่วงอายุเท่านี้ คือเข้าสู้วัยเจริญพันธุ์ของสุนัขเพศเมียแล้ว แต่ก็ยังไม่ควรพาเค้าไปผสมนะครับ ช่วงอายุที่ดีที่สุด ที่จะเริ่มพาเจ้าสาวของเราไปผสมได้ คือ อายุอย่างน้อย 2 ปี หรือจนกว่าจะเป็นสัดครั้งที่ 2-3 นั่นเองครับ
- ช่วงการเป็นสัด
ช่วงการเป็นสัด “สัด” เขียนแบบนี้ ไม่ผิดครับ ในสุนัขเพศเมีย จะมีวงรอบของระบบสืบพันธุ์ ซึ่งเราจะเรียกกันว่า วงรอบของการเป็นสัดนั่นเองครับ (Estrous Cycle or Heat) อธิบายสั้นๆ ให้พอเข้าใจดังนี้ครับ
วงรอบของการเป็นสัด ในสุนัขเพศเมีย แบ่งออกได้เป็น 4 ช่วง คือ
- Proestrous ระยะนี้ ใช้เวลา 5-9 วัน เป็นระยะเตรียมความพร้อมของระบบสืบพันธุ์ เมื่อเข้าสู่ระยะนี้ จะพบว่าอวัยวะเพศจะบวม และสามารถพบเลือด (Bloody Vaginal Discharge) ไหลออกมาได้ ระยะนี้ ตัวผู้จะแสดงความสนใจ แต่ตัวเมียจะยังไม่ยอมให้ผสม
- Estrous ระยะนี้ จะเกิดขึ้นต่อจากระยะ Proestrous ใช้เวลา 5-9 วันเช่นกันจะยังพบว่ามีเลือด (Bloody Vaginal Discharge) ไหลออกมาได้อยู่แต่ก็จะพบเพียงเล็กน้อย แล้วก็จะหมดไป ระยะนี้ จะมีการตกไข่ และเจ้าสาวของเราก็จะยอมให้ขึ้นผสมแล้วครับ และหากมีการผสมเกิดขึ้น ก็จะเกิดการปฏิสนธิขึ้นระหว่างไข่ และน้ำเชื้อจากเพศผู้นั่นเองครับ
- Diestrous ระยะนี้ จะเกิดหลังจากสิ้นสุดระยะ Estrous และจะเป็นช่วงตั้งแต่ตัวเมียเริ่มไม่ยอมให้ผสมแล้ว จนถึงสิ้นสุดการตั้งท้อง ก็คือ เป็นช่วงของการตั้งท้องหากมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นนั่นเองครับ ระยะนี้ จะยาวนานได้มากสุดถึง 80 วัน
- Anestrous ระยะสุดท้ายนี้ จะเกิดภายหลังจาก Diestrous สิ้นสุด จะเป็นช่วงที่ระบบสืบพันธุ์อยู่ในช่วงพัก ใช้เวลาโดยประมาณ 90-150 วัน
- วันตกไข่ และช่วงเวลาที่เหมาะในการผสม
จากที่กล่าวไปแล้ว คงถึงจุดที่สำคัญที่สุด สำหรับเรื่องนี้ ก็คือ ช่วงเวลาที่เหมาะในการพาเจ้าสาวของเราไปผสมนั่นเอง โดยจริงๆ แล้ววันที่เหมาะสมที่สุด ก็คือ วันหลังจากไข่ตก ได้ 1-2 วัน อธิบายอย่างนี้ครับ โดยปกติแล้วไข่ที่ตก จะเคลื่อนตัวผ่านไปยังท่อนำไข่ และระหว่างนั้นเองจะเป็นช่วงที่ไข่ จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้เป็นไข่ที่พร้อมสำหรับการผสม ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-5 วัน หากมีการผสมในช่วงวันดังกล่าว น้ำเชื้อจากสุนัขตัวผู้ ก็จะค่อยๆ เคลื่อนผ่าน และไปพบกับไข่ที่พร้อม จนเกิดการปฏิสนธิในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดนั่นเองครับ
ทีนี้ เราจะรู้ว่าถึงวันตกไข่ได้อย่างไร
จากหัวข้อวงรอบการเป็นสัด การตกไข่จะเกิดขึ้นในระยะ Estrous หรือเป็นช่วงที่เราเรียกว่า “เป็นสัด” นั่นเอง ปัญหามีอยู่ว่า เราจะทราบกันได้อย่างไรว่า ณ ตอนนี้ อยู่ในช่วงไหนของวงรอบการเป็นสัด? และถ้าอยู่ในช่วง “เป็นสัด” (Estrous) เนื่องจากระยะ Estrous ก็กินเวลาได้ ตั้งแต่ 5-9 วัน แล้ววันไหนคือวันที่ตกไข่? ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณเจ้าของสัตว์ซีเรียสมากน้อยแค่ไหน และเลือกที่จะให้เค้าถูกผสมด้วยวิธีแบบใด เช่น ผสมตามธรรมชาติ กับสุนัขตัวผู้ที่บ้าน หรือพาไปทับกับพ่อพันธุ์ที่ฟาร์ม หรือถึงขั้นต้องการจะผสมเทียม ซึ่งมีข้อแนะนำที่แตกต่างกันครับ สำหรับวิธีทั้งหมด มีดังนี้
- การนับวันตามค่าเฉลี่ยของระยะต่างๆ รวมถึงการดูการเปลี่ยนแปลงจากลักษณะทางกายภาพภายนอก ทำได้เองง่ายๆ แต่ก็มีความคลาดเคลื่อนได้บ้างจากตัวเลขของแต่ละระยะคือค่าเฉลี่ย แท้จริงแล้วแต่ละตัวจะเกิดแต่ละระยะของการเป็นสัดไม่เท่ากัน สามารถทำได้ ดังนี้ คือ จากที่กล่าวเรื่องวงรอบการเป็นสัด ช่วง Proestrous ใช้เวลา 5-9 วัน โดยระยะนี้จะเห็นว่ามีเลือดออกมาจากอวัยวะเพศ (Bloody Vaginal Discharge) ให้เริ่มนับจากวันที่เห็นเลือดและมีอวัยวะเพศบวม นับไปประมาณ 9 วัน ก็น่าจะผ่านระยะ Proestrous เข้าสู่ Estrous ซึ่งเป็นระยะที่จะมีการตกไข่ ระยะนี้ สัตว์จะเริ่มยืนนิ่งยอมให้ขึ้นผสม ตรวจสอบได้ด้วยการกดบริเวณหลังช่วงท้าย หรือจับตัวผู้มาขึ้นด้านหลัง จะไม่เดินหนี ถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เข้าสู่ระยะ Estrous แน่นอนแล้ว ทั้งนี้ ปกติแล้วไข่มักจะตกหลังจากเข้าช่วง Estrous ได้ 2-5 วันโดยประมาณ ระยะนี้ เป็นระยะที่เกิดการผสมพันธุ์กันตามธรรมชาติ ดังนั้น หากใช้เพียงแค่การนับวันเท่านั้น ก็อาจเริ่มให้เจ้าสาวของเราเจอหนุ่มได้ ตั้งแต่เข้าระยะนี้ได้ซัก 2 วันครับ
- การตรวจดูเซลล์ผนังเยื่อบุช่องคลอด (Vaginal Cytology) เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และบ่งบอกถึงระยะของการเป็นสัดเท่านั้น ไม่สามารถบอกว่าตกไข่วันไหนได้เช่นกัน หากต้องการจะทำคงต้องพาไปตรวจกับคุณหมอแล้วล่ะครับ คุณหมอจะทำการเก็บตัวอย่างจากเยื่อบุช่องคลอดไป ป้ายและย้อมสีบนสไลด์ และส่องกล้องตรวจดู ว่าเป็นเซลล์ชนิดไหนอย่างไร โดยในแต่ละระยะของวงรอบการเป็นสัด เซลล์ผนังเยื่อบุช่องคลอดที่พบจะแตกต่างกันครับ ตามอิทธิพลของฮอร์โมน Estrogen คำถามคือ “ถ้ารู้ได้แค่นี้ ก็เหมือนไม่มีประโยชน์เลยสิหมอ” จริงแล้วหากใช้การทำ Vaginal Cytology เพียงอย่างเดียว ก็จะใช้เพียงแค่ตรวจได้ว่าเข้าสู่ระยะ Estrous แล้วหรือยังเท่านั้น ส่วนวันตกไข่ จะใช้เป็นการกะประมาณเอาว่า 2 วันหลังจากเข้าสู่ระยะนี้ น่าจะมีการตกไข่เกิดขึ้นนั่นเองกำหนดที่เจ้าสาวจะเจอหนุ่มก็ใช้วิธีเดียวกันกับ การนับวันตามข้อ 1. นั่นเอง เพียงแต่ว่า รู้ได้ชัดเจนกว่าว่าเข้าสู่ระยะ Estrous แน่นอนแล้ว แต่โดยปกติแล้วคุณหมอจะใช้วิธีนี้ ร่วมกับวิธีอื่นๆ ในการตรวจหาวันที่เหมาะสมในการผสมนั่นเองครับ



- การตรวจหาวันตกไข่ การตกไข่ของสุนัขจะขึ้นอยู่กับอิทธิพลของฮอร์โมน LH ซึ่งหลังจากเข้าสู่ระยะของการเป็นสัด (Estrous) แล้ว ระดับฮอร์โมน LH ก็จะเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดการตกไข่ภายใน 2-3 วัน แต่เนื่องจากฮอร์โมน LH นี้มีการขึ้น และลงในช่วงสั้นๆ การจะตรวจให้เจอฮอร์โมน LH ตัวนี้จึงทำได้ลำบาก ปัจจุบันเป็นที่นิยมในการใช้วิธีตรวจหาฮอร์โมน Progesterone แทน ซึ่งพบว่าฮอร์โมน Progesterone จะเริ่มค่อยๆ สูงขึ้นตั้งแต่ก่อนฮอร์โมน LH จะขึ้นจนฮอร์โมน LH ลงแล้วก็ตาม ฮอร์โมน Progesterone จะยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อยู่ เราจึงสามารถตรวจเจอ Progesterone ได้ง่ายกว่า ส่วนการแปรผลการตกไข่จากค่าฮอร์โมน Progesterone มีดังนี้
- ต่ำกว่า 1 ng/ml มักจะอยู่ในช่วงก่อนการเป็นสัด (Proestrous)
- 2.0-2.9 ng/ml บ่งบอกว่าน่าจะเป็นช่วงที่ฮอร์โมน LH สูงขึ้น (LH Surge)
- 3.0-3.9 ng/ml มักจะเป็นช่วงก่อนตกไข่ 1 วัน
- 4.0-8.0 ng/ml มักเป็นช่วงที่ตกไข่ (Ovulation)
ไข่ที่ตกแล้ว จะใช้เวลาประมาณ 2 วัน เพื่อจะเปลี่ยนแปลงให้พร้อมสำหรับการผสม โดยไข่ที่พร้อมผสมนี้ จะอยู่ได้ 2-3 วันก่อนจะฝ่อไป การผสมให้ตรงวันจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการผสมติดนั่นเอง จากที่หมอเล่าให้ฟังทั้งหมดนี้ ทำให้เป็นการง่ายที่จะจัดการผสมในวันที่เหมาะสม รู้แล้วล่ะว่าจะส่งเจ้าสาวเข้าหอเจอหนุ่มวันไหนดี
จากที่ไข่ต้องใช้เวลา 2 วัน สำหรับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไข่ที่พร้อมสำหรับการผสม ดังนั้น เราจะผสมพันธุ์สุนัขภายหลังการตกไข่ 1-2 วัน และควรผสมซ้ำในอีก 2 วันถัดไป เช่น ถ้าผสมวันนี้ พรุ่งนี้เว้น ผสมอีกทีวันมะรืนเลยครับ
จากข้อมูลที่หมอเล่าให้ฟัง น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้เลี้ยงสุนัขที่ต้องการอยากให้เค้ามีลูกน่ารักๆ โดยการจะเลือกผสมด้วยวิธีใดก็ตามนั้น การทราบระยะของการเป็นสัด และการรู้วันตกไข่ น่าจะเป็นช่วยให้คุณเจ้าของสัตว์เลือกวันผสมได้อยากถูกต้องนะครับ ^^