ในสัตว์เลี้ยงเราสามารถพบโรคที่คล้ายคลึง กับที่เราพบในผู้สูงอายุในคนได้ เนื่องจากความเสื่อม และการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเฉลี่ยแล้วสัตว์สูงอายุโดยทั่วไปจะนับอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 7-8 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ ขึ้นกับสายพันธุ์ด้วยโดยในสุนัขพันธุ์เล็กจะแก่ช้ากว่า สุนัขพันธุ์ใหญ่ เช่น สุนัขพันธุ์เล็กจะถือว่าแก่ก็อายุประมาณ 7-8 ปี ขณะที่สุนัขพันธุ์ใหญ่อายุเพียง 6 ปี ก็ถือว่าเป็นสุนัขแก่ได้แล้ว ทั้งนี้ มีการนำไปเปรียบเทียบกับอายุของคน ได้โดยประมาณคือ สุนัข 1 ปี อายุเท่ากับคนอายุ 7 ขวบ เป็นต้น

สัตว์สูงอายุ เจ้าของสัตว์มักจะทราบได้จาก พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และพฤติกรรม เช่น การตอบสนองช้า ไม่ค่อยอยากเคลื่อนไหว วิ่งเล่น หรือเคลื่อนไหวค่อนข้างเชื่องช้า และใช้เวลาหลักไปกับการนอน และมักพบร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลายด้าน เช่น สีขนที่เปลี่ยนแปลงไป มีขนหงอก นัยตาขุ่น การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม อารมณ์ สัตว์ในวัยชรามักจะไม่ค่อยนอนตอนกลางคืน นอนมากตอนกลางวัน บางตัวอาจมีพฤติกรรมร้องโวยวายกลางคืน ถ่ายปัสสาวะกะปริดกะปรอย อุจจาระเรี่ยราด การมองเห็นในที่มืดที่แย่ลง ตกใจง่าย ไม่ร่าเริงคึกคักเหมือนแต่ก่อน รวมถึงปัญหาเรื่องสุขภาพต่างๆ ด้วย โดยมักจะพบว่ามีการทำงานของอวัยวะต่างๆ เสื่อมลง เช่น ภาวะโรคหัวใจ ภาวะโรคไต หรือแม้กระทั่งปัญหาของระบบอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ซึ่งโรคที่สามารถพบได้บ่อยในสุนัข ได้แก่
- โรคไต
ในปัจจุบันพบว่าสัตว์เลี้ยง ทั้งสุนัข และแมว โดยเฉพาะที่อยู่ในภาวะสูงอายุมักมีแนวโน้มเป็นโรคไตเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น สัตว์ที่มีอายุมาก การป่วยของโรคอื่นๆ อาจโน้มนำให้เกิดกลุ่มอาการของโรคไต สายพันธุ์ก็มีส่วนให้แนวโน้มการเกิดความผิดปกติของไตตั้งแต่กำเนิด รวมถึงพฤติกรรมการกินอาหารและน้ำ ซึ่งอาจหมายรวมถึงพฤติกรรมการเลี้ยงดูของเจ้าของด้วย
โดยโรคไตจะแบ่งตามระยะเวลาการเกิดโรคออกเป็น โรคไตวายเฉียบพลัน และโรคไตวายเรื้อรัง ในทางคลินิคสามารถตรวจได้จากค่าเคมีที่บ่งชี้การทำงานของไต คือ ครีเอตินีน (Creatinine) และ ยูเรีย (Urea) ในกระแสเลือด โดยเจ้าของมักจะพบว่าสัตว์เลี้ยงแสดงอาการผิดปกติเมื่อหน่วยไต ซึ่งเป็นหน่วยย่อยๆ ของไตได้รับความเสียหายมากเกิน 75 เปอร์เซนต์ จะมีผลให้ระดับของเสียในร่างกายที่จะไปกรองทิ้งทางไตและปัสสาวะเพิ่มสูงขึ้น โดยอาการหลักที่เจ้าของมักจะพบคือ ซึม ไม่ค่อยกินอาหาร กินน้ำเยอะ ปัสสาวะเยอะ น้ำลายไหลเยอะ อาเจียน น้ำหนักลด แต่ในบางตัวก็อาจไม่แสดงอาการ ในแมวจะแสดงอาการให้เจ้าของเห็นค่อนข้างช้ากว่าในสุนัข แต่เมื่อแสดงอาการมักจะเป็นภาวะโรคไตที่ค่อนข้างรุนแรงให้เห็นอย่างชัดเจน โดยไตป็นอวัยวะที่หากได้รับความเสียหายแล้ว จะไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองให้กลับมาไปทำงานได้ตามปกติเหมือนเดิมได้ 100% จึงต้องอาศัยการดูแลและจัดการตามอาการเป็นหลัก เช่น ในภาวะของไตวายเฉียบพลัน อาการที่แสดงจะค่อนข้างรวดเร็วและรุนแรงดังนั้นสุนัขมีโอกาสเสียชีวิตสูง แต่หากได้รับการรักษาที่ทันการและความคุมอาการความรุนแรงของโรคได้ สุนัขก็มีโอกาสดีขึ้น จนไตกลับมาทำงานได้ปกติได้ โดยการให้สารน้ำปรับสภาวะร่างกาย ปรับสภาวะกรดด่างในร่างกาย ลดปริมาณสารพิษในร่างกายที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากอาหาร ส่วนในภาวะของโรคไตเรื้อรังมักพบได้บ่อยในสัตว์สูงอายุ
การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการและการรักษาด้วยสารน้ำเช่นเดียวกับภาวะโรคไตวายเฉียบพลัน ในระยะแรกสุนัขควรที่จะได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดจากสัตวแพทย์ โดยการได้รับสารน้ำเพื่อชดเชยภาวะขาดน้ำ และเพื่อเพิ่มการขับออกของของเสียในเลือดรวมถึงการได้รับยาต่างๆ และสารอาหารต่างๆในขณะที่สัตว์ป่วยยังไม่สามารถทานอาหารเองได้ ทั้งนี้สัตว์ที่กินอาหารได้ยังควรได้รับอาหารที่เหมาะสม และอาจให้สารหรือยาต่างๆ ทดแทนตามอาการแสดงออก รวมถึงควรมีการตรวจค่าเคมีที่บ่งบอกการทำงานของไตเป็นระยะ โดยหากสัตว์เลี้ยงอาการดีขึ้นจนสามารถนำกลับไปดูแลต่อที่บ้านได้เอง การดูแลหลักก็จะเป็นหน้าที่ของเจ้าของโดยเจ้าของควรจะให้ความเอาใจใส่ในเรื่องของชนิดอาหารมักจะแนะนำให้อาหารในสูตรที่ช่วยการทำงานของไต บางรายอาจมีการให้สารน้ำใต้ผิวหนังเป็นระยะ และการสังเกตการขับถ่าย พฤติกรรมการกินน้ำ อาหาร อาการแสดงออกต่างๆ รวมถึงการนำสุนัขกลับมาตรวจตามนัดของสัตวแพทย์
- โรคระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคหัวใจ โรคระบบหลอดเลือดต่างๆ เช่นความดันโลหิตสูง
ดังที่กล่าวมาข้างต้นเมื่อสัตว์เลี้ยงมีอายุมากขึ้นการใช้งานของอวัยวะที่มากและนานย่อมก่อให้เกิดความเสื่อมตามมาได้ หัวใจและหลอดเลือดก็เช่นกัน โดยกลุ่มอาการหลักที่สามารถพบได้ในสุนัขป่วยโรคหัวใจ คือ เจ้าของมักจะพบว่าสุนัขไม่ร่าเริงเล่นเหมือนตอนเด็กๆ อาจพบอาการไอโดยเฉพาะตอนกลางคืน นอนได้ไม่นานมักจะตื่นกลางดึก หอบเหนื่อยง่าย ผอมซูบ เยื่อเมือกซีดถึงม่วงคล้ำ อาจพบว่ามีอาการวูบเป็นลมได้ การรักษา และดูแลนับเป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากโรคหัวใจเป็นโรคที่สามารถพัฒนาให้แย่ลงเรื่อยๆหากไม่ทำการรักษาเลย
การรักษาในภาวะของโรคหัวใจ จะรักษาโดยช่วยการทำงานของหัวใจ เช่น ยาที่ช่วยลดความดันเลือด ยาขับน้ำ ยาช่วยการทำงานของหัวใจ ซึ่งจะมีผลในการช่วยชะลอความรุนแรงของโรคให้เกิดช้าลงได้ ร่วมกับการตรวจสุขภาพ และวัดการทำงานของหัวใจ ตรวจวินิจฉัยสภาวะต่างๆ ของหัวใจและปอด โดยการเอกซเรย์ การทำคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือการทำอัลตราซาวด์หัวใจเพิ่มเติมเพื่อการวินิจฉัยเพิ่มเติมและให้การรักษาได้ตรงจุดมากขึ้น
- โรคในกลุ่มเนื้องอก และมะเร็ง
เจ้าของสัตว์เลี้ยงมักจะพบว่ามีก้อนเนื้อผิดปกติซึ่งมีการขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยสังเกตได้ง่ายหากพบบริเวณผิวหนังภายนอกแล้วมักจะนำมาพบสัตวแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา และบางครั้งอาจพบว่ามีการลุกลามของก้อนเนื้อร้ายไปส่งผลเสียต่ออวัยวะอื่นๆตามมาแล้วเจ้าของจึงสังเกตพบความผิดปกติของระบบนั้นๆ ทำให้พบว่าในบางรายอาจมาด้วยอาการของระบบต่างๆที่ทำงานผิดปกติไป การรักษานั้นขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของเนื้องอก โดยการวินิจฉัยโดยการเจาะตรวจเซลล์เพื่อทำสไลด์ส่องตรวจ ร่วมกับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด เนื้องอกบางชนิดสามารถทำการผ่าตัดเพื่อนำส่วนของก้อนเนื้อออกเพียงอย่างเดียว บางชนิดต้องทำร่วมกับการฉีดยาเคมีบำบัด บางชนิดเป็นแล้วไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จะทำการรักษาเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดีการรักษาในขณะที่สัตว์เลี้ยงยังมีสภาพร่างกายที่แข็งแรง โอกาสการฟื้นตัวกลับมาย่อมดีกว่า
- โรคในกลุ่มของระบบต่อมไร้ท่อต่างๆ
ในกลุ่มของภาวะเบาหวาน มักจะมาด้วยอาการกินน้ำเยอะ ปัสสาวะเยอะ กินอาหารเยอะแต่ ผอมซูบ โดยปัญหาในสุนัขในมักพบปัญหาได้มากในสุนัขเพศเมีย และสุนัขที่ค่อนข้างอ้วน มักเกิดจากการขาดฮอร์โมนอินซูลินหรืออินซูลินที่ผลิตออกมาไม่เพียงพอต่อการทำงาน ส่วนในแมวมักเกิดเนื่องจากอินซูลินที่ผลิตออกมาจากตับอ่อนได้ในระดับปกติแต่มีความบกพร่องในการทำงาน เนื่องจากเบาหวานเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายาขาดได้ในสุนัข แนวทางการรักษาที่สำคัญคือการปรับภาวะแห้งน้ำ ปรับความเป็นกรดด่างในร่างกายที่อาจพบได้ ร่วมกับการให้ยา เช่นยาในกลุ่มของอินซูลิน เพื่อช่วยเซลล์ต่างๆของร่างกายในการนำน้ำตาลเข้าไปใช้เป็นพลังงาน โดยช่วงแรกของการรักษาสุนัขมักจะต้องถูกเจาะเลือดเพื่อทำการตรวจระดับของน้ำตาลในกระแสเลือด เพื่อหาระดับของยาอินซูลินที่จะใช้ในการรักษา เมื่อสุนัขอาการค่อนข้างคงตัวและสามารถดูแลเองที่บ้านได้ การดูแลโดยเจ้าของนับเป็นหัวใจหลักในการดูแลทั้งการให้ยาตามขนาดที่สัตวแพทย์แนะนำ ให้มีการออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ ร่วมกับการให้อาหารที่เหมาะสม รวมถึงการพาสุนัขมาตรวจเป็นระยะตามสัตวแพทย์สั่ง เพื่อประเมินระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ร่วมกับการตรวจปัสสาวะเป็นระยะ เพื่อปรับขนาดของยาอินซูลินให้เหมาะสม
กลุ่มอาการของโรคฮอร์โมนที่แสดงออกทางผิวหนังและขน เช่นภาวะระดับของฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำกว่าปกติในสุนัข เนื่องจากต่อมไทรอยด์ผิดปกติไป หรือการเกิดความผิดปกติต่อกระบวนการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์เช่น ผิดปกติที่สมองในการกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนโดยที่ต่อมยังปกติ จะพบว่าสุนัขไม่ร่าเริง เฉื่อย น้ำหนักมากกว่าปกติ ขนร่วงส่วนท้ายลำตัวอย่างสมมาตร รวมถึงขนร่วงเป็นหางหนู การตรวจวินิจฉัยโดยการตรวจระดับฮอร์โมนในกระแสเลือดจะพบว่ามีระดับต่ำกว่าปกติ และอาจพบการเพิ่มสูงของคลอเลสเตอรอลในกระแสเลือดร่วมด้วย การรักษาโดยการให้กินฮอร์โมนเสริม และพามาตรวจสุขภาพเป็นระยะ
- โรคในช่องปาก
ปัญหาที่มักพบได้คือกลุ่มโรคเกี่ยวกับเหงือกและฟัน มักจะพบว่ามีหินปูนเกาะปริมาณมากจึงมีโอกาสเกิดฟันผุ และเหงือกร่นเหงือกอักเสบตามมาได้ร่วมถึงยังสามารถทำให้เกิดกลิ่นปาก แผลในช่องปากตามมา และมีข้อมูลเกี่ยวกับภาวะการเกิดหินปูนในสัตว์เลี้ยงว่ามีโอกาสทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดภาวะลิ้นหัวใจผิดปกติและโน้มนำให้เกิดภาวะของโรคหัวใจตามมาได้ ดังนั้นการดูแลรักษาโดยการตรวจสุขภาพประจำปีร่วมกับการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำทุก 3-6 เดือน ทำการขูดหินปูนรวมถึงการให้อาหารที่เหมาะสมที่มีความแข็งพอเหมาะในการขัดทำความสะอาดฟัน โดยควรมีการดูแลตั้งแต่เด็กจนเพื่อสุขภาพช่องปากและร่างกายที่ดีต่อตัวสัตว์เลี้ยงเองจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆตามมาได้
- ภาวะอ้วนในสัตว์เลี้ยง
ภาวะอ้วนนับเป็นปัญหาที่พบได้ค่อนข้างมากในสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะการเลี้ยงแบบตามใจของเจ้าของ เช่นการให้อาหารเหมือนที่เจ้าของทาน โดยที่ไม่ทราบถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาจากภาวะอ้วน เช่น โรคของระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ โรคของระบบกล้ามเนื้อ และกระดูก โรคเบาหวาน หรือภาวะตับอ่อนอักเสบ เป็นต้น ซึ่งเจ้าของสัตว์เลี้ยงควรดูแลในเรื่องอาหาร ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมตามวัยตั้งแต่เด็กจนสูงอายุ ร่วมกับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีเพื่อประเมินว่าลักษณะรูปร่างของสุนัขหรือแมวว่าอยู๋ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีภาวะอ้วนหรือไม่ ส่วนการดูแลในสัตว์เลี้ยงที่มีภาวะอ้วนหรืออยู่ในภาวะเสี่ยง จะใช้การควบคุมอาหารในปริมาณที่เหมาะสมหรือใช้อาหารรักษาโรคทึ่ใช้ในการลดน้ำหนัก ร่วมกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม ก็จะช่วยป้องกันผลเสียต่างๆที่จะเกิดในภาวะอ้วนได้ - โรคตาในสัตว์เลี้ยง
ดวงตาจัดเป็นอวัยวะรับสัมผัสอย่างหนึ่งที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน และจะมีความเสื่อมไปได้ตามอายุ เช่นเดียวกับอวัยวะอื่น โดยความผิดปกติของโรคตานี้อาจพบได้เป็นปกติในสุนัขหรือแมวสูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 6-7 ปีขึ้นไป ดังนั้นการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อตรวจความผิดปกติที่อาจพบได่ในสัตว์สูงอายุเช่นเดียวกับการตรวจโรคอื่นๆ กลุ่มอาการโรคตาที่สามารถพบได้ในสัตว์สูงอายุเช่น
- เลนส์ตาขุ่นตามอายุ (Lenticular nuclear sclerosis) จะเริ่มพบได้ในสุนัขอายุ 6 ปีขึ้นไป เจ้าของมักจะสังเกตเห็นว่าทำไมเวลามองตาเค้าแล้วดูขุ่นขึ้นไม่ใสเหมือนก่อน มักจะไม่พบว่าก่อปัญหาในผิดปกติในการมองเห็นหรือส่งผลเพียงเล็กน้อยเช่นการมองเห็นในที่มึดแย่ลง โดยปกติแล้วแก้วตาจะมีความใส แสงส่องผ่านได้ดี แต่จะมีความหนาตัวมากขึ้นตามอายุ จนทำให้เจ้าของสังเกตเห็นได้ถึงความขุ่นของแก้วตา โดยส่วนขอบนอกของแก้วตาจะค่อนข้างใสปกติ
- ต้อกระจก (Cataract) ต้อกระจกเป็นการขุ่นมัวของแก้วตา จากปกติที่จะมีความใสแสงผ่านได้ จะพบว่าแก้วตาเริ่มขุ่นมัว ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติโปรตีนภายในแก้วตาและเกิดการตกตะกอน โดยสาเหตุของการเกิดต้อกระจกมีจำนวนมาก รวมถึงภาวะที่เกิดจากโรคของระบบในร่างกาย เช่น โรคเบาหวาน การดูแล รักษาต้อกระจกที่เป็นวิธีที่ดีและได้ผลที่สุดในปัจจุบันคือ การผ่าตัดด้วยวิธี Phacoemulsification คือการใช้เครื่องมือในการนำส่วนของเนื้อเลนส์ที่เสื่อมแล้วออกไปจากแก้วตานั้นเอง และอาจมีการใส่แก้วตาเทียมหรือไม่ใส่ก็ได้ โดยก่อนที่สัตว์เลี้ยงจะทำการผ่าตัดสลายต้อควรที่จะทำการตรวจการทำงานของจอประสาทตาก่อนว่ามีการตอบสนองที่ดีก่อนแนวโน้มในการกลับมามองเห็นได้หลังการแก้ไขจึงจะทำการผ่าตัด และรวมถึงเจ้าของต้องทราบถึงการดูแลหลังการผ่าตัดซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญของการกลับมามองเห็นของสัตว์เลี้ยงหลังการผ่าตัด
- การอักเสบของตา ที่เกิดตามมาจากภาวะต้อกระจก (Len- induce uveitis) มักพบในสุนัขสูงอายุที่เป็นโรคต้อกระจกเรื้อรังมักจะพบว่ามีการอักเสบของตา เนื่องจากโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบของแก้วตา ที่เกิดความเสื่อมมีการหลุดออกมาทำให้เกิดการอักเสบ ตาแดง น้ำตาไหลเอ่อ กระพริบตาเยอะ หรืออาจพบภาวะแทรกซ้อนต่างๆตามมาได้เช่น โรคต้อหิน แผลทีกระจกตาจากการเกาตาได้
- เนื้องอกของหนังตา (Eyelid Tumors) มักพบเนื้องอกบริเวณขอบของหนังตา ซึ่งมักจะเป็นเนื้องอกที่บริเวณ ต่อมน้ำตาชนิด Meibomian โดยหากปล่อยทิ้งไว้มีโอกาสที่ก้อนเนื้องอกไปถูบริเวณกระจกตาและทำให้เกิดผลเสียต่อตาตามมาได้อีกมากเช่นแผลที่กระจกตา เพราะมักจะเป็นกลุ่มของเนื้องอกแบบไม่ร้ายแรงการตัดออกจะได้ผลการรักษาที่ค่อนข้างดี
- กระจกตาเสื่อม (Corneal Degeneration/ Dystrophy) สาเหตุของกระจกตาเสื่อมเป็นได้หลายสาเหตุ เช่น ภาวะตาแห้ง หรือในสุนัขสายพันธุ์ที่มีช่องหน้าตาค่อนข้างกว้าง โรคของระบบภายในร่างกายบางโรคก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเสื่อมของกระจกตาได้เช่นกัน เช่น ในภาวะไขมันในเลือดสูง ในสัตว์ป่วยด้วยโรคฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ หรือ โรคของต่อมหมวกไตที่มีการผลิตฮอร์โมนมากผิดปกติ รอยโรคที่พบจะมีลักษณะสีขาวขุ่นๆหรือขาวทึบบนกระจกตา โดยมักพบรอยโรคที่ตาข้าง ใดข้างหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากกรณีความผิดปกติจากพันธุ์กรรมมักจะเกิดที่กระจกตาทั้งสองข้าง โดยปกติกระจกตาเสื่อมนี้ ถ้าไม่รุนแรงมากจะไม่มี ผลกระทบกับการมองเห็นของสัตว์ การรักษาจะเป็นการดูแลจากเจ้าของโดยการใช้ยาหยอดตาเพื่อชะลอความรุนแรงของโรคให้เกิดช้าลงร่วมกับการรักษาภาวะการป่วยของระบบร่างกาย
- การลอกหลุดของจอประสาทตา (Retinal detachments) มักจะเกิดในสุนัขหรือแมวสูงอายุ อาการที่พบจะมีม่านตาขยายกว้างไม่ตอบสนองต่อแสง อาจมีเลือด ออกในช่องหน้าตาได้ซึ่งมักจะเกิดในรายที่มีความดันเลือดสูง จากโรคของของระบบต่างๆร่วมด้วย โดยอีกสาเหตุที่มักพบในสุนัขการติดเชื้อพยาธิในเม็ดเลือดบางชนิด ทำให้เกิดจุดเลือดออกในจอประสาทตา และมีการลอกหลุดของจอประสาทตาตามมา จนอาจรุนแรงจนทำให้ตาบอดเลยได้ การรักษาจะเป็นการรักษาตามสาเหตุโน้มนำเช่นให้ยาลดความดันเลือด
- การเสื่อมของจอประสาทตา PRA (Progressive Retinal Atrophy) เป็นโรคที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบมากในพันธุ์ Poodle, Labrador Retriever ซึ่งมักจะพบอาการเดินชนในที่มืดเนื่องจากอาการมองไม่เห็นในที่แสงสลัวๆ ในที่มึดและอาจรุนแรงจนมองไม่เห็นเลยในที่สว่าง การรักษายังไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผล 100 เปอร์เซนต์ เนื่องจากเป็นโรคทางพันธุกรรมวิธีการที่ดีที่สุดคือการป้องกันโดยการไม่ผสมสุนัขที่มีความเสี่ยงเป็นพ่อแม่พันธุ์
- โรคของระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูก
ภาวะของข้อเสื่อม เข่น ภาวะของข้อสะโพกเสื่อม มักพบได้มากในสุนัขพันธุ์ใหญ่ โดยมักจะเป็นโรคที่ค่อยๆพัฒนาความรุนแรงมาตั้งแต่อายุน้อยๆมีการเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของหัวกระดูกและเบ้ากระดูกส่วนสะโพกทำให้เกิดการเสียดสีและเกิดความเจ็บปวดตามมาได้ ส่วนความรุนแรงที่แสดงออกนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยโน้มนำ คือเนื่องจากลักษณะพันธุกรรม โครงสร้าง วิธีการเลี้ยงดู กลุ่มอาการที่มักสังเกตพบคือ ลุกยืนนั่งลำบาก ขึ้นลงบันไดลำบาก นอนเยอะ หลังจากออกกำลังกายจะแสดงอาการเจ็บชัดเจนขึ้น ในสุนัขบางรายอาจจะพบร่วมกับภาวะกล้ามเนื้อบริเวณสะโพกลีบเล็กลง การรักษาเป็นการรักษาโดยการให้ยาลดปวด ยาที่มีผลในการเพิ่มน้ำในข้อต่อลดแรงเสียดทาน ลดน้ำหนัก ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่นการเดินในน้ำจะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อทำให้มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมาช่วยรับน้ำหนักได้ดีขึ้น
ภาวะของกระดูกงอกของข้อต่อไขสันหลัง (Spondylosis) มักจะพบว่ามีกระดูกงอกขึ้นมาบริเวณด้านล่างหรือด้านข้างของกระดูกสันหลัง ซึ่งมักเป็นโรคที่ค่อยๆเกิดขึ้น เป็นภาวะที่ค่อนข้างเรื้อรัง เจ้าของมักจะสังเกตเห็นอาการ หลังจากที่สุนัขมีการกระทบกระแทก ลื่นล้ม จะเรีมพบอาการเดินกะเพรก นอนนาน ยืนไม่ได้นาน ไม่มีแรง การตรวจวินิจฉัยจะอาศัยการตรวจร่างกายโดยละเอียด ร่วมกับการถ่ายภาพ x-ray โดยส่วนใหญ่สัตว์สูงอายุจะมีอาการนอนมากแล้วลุกยืนลำบากหรือมีอาการกะเพรกเวลาเดิน ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่าเริง พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ อาจพบภาวะกล้ามเนื้อผ่อลีบร่วมด้วย เนื่องจากการใช้งานลดลง
ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นการดูแลสัตว์เลี้ยงสูงอายุจะอาศัยการดูแลเอาใจใส่โดยเจ้าของที่มากขึ้นกว่าปกติ ทั้งเรื่องอาหาร และการตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อปี จะเป็นการป้องกันหรือหากพบความผิดปกติจะได้ทำการรักษาได้ตั้งแต่อาการยังไม่รุนแรง ทำให้สัตว์เลี้ยงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและอยู่กับเราได้นานขึ้น